ใบไม้ร่วงกระซิบเรียกหา ตอนที่ 1

เค้าว่ากันว่าการได้เดินป่าอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดคนเดียว มันทำให้คนเราได้หวลคิดและกลับคืนสู่ชีวิตพื้นฐานของตัวเอง ในป่าที่โดดเดี่ยวอ้างว้างแบบนี้ หันไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ ผมไม่มีอะไรติดตัวมามากนัก มีแค่แผนที่ ยานพาหนะที่ต้องใช้น้ำมัน GPS ที่นาฬิกาข้อมือ และโทรศัพท์เท่านั้นเอง แล้วผมจะเอาตัวรอดได้หรือ?

ผมขับรถช้าๆผ่านป้ายอันตรายที่เชิงเขานั้นมาไกลพอดู ล้อรถยิ่งเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ใจของผมเริ่มถอยกลับไปข้างหลัง มาถึงตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ที่ตัวผมมาที่นี่โดยเขียนโน้ตสั้นๆไว้บนโต๊ะทำงานว่า "ไม่อยู่ "ผมทำถูกแล้วหรือ ผมคิด แต่คนอย่างผมเมื่อตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว การถอยหลังแล้ววิ่งหนีจ้ำอ้าวกลับ คงไม่ใช่ตัวผมเป็นแน่แท้ ตอนนี้ผมขับรถผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าจนตัวผมโคลงไปมาตามแรงเหวี่ยง หนทางลำบากและกันดาลมากขึ้นทุกที ความหนาวเย็นเข้ามาภายในรถ ผมไม่ได้เปิดฮิทเตอร์เพราะต้องถนอมพลังงานเอาไว้ใช้ให้นานที่สุด จนกว่าจะถึงสถานีน้ำมันข้างหน้า

ตอนนี้ก็คิดอยู่แต่ว่า เย็นนี้ผมจะต้องขับไปให้ถึงจุดที่พัก 1 ให้จงได้ ไม่อย่างนั้นผมอาจจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้ายเช่นเสือ ไฮยีน่าหรือสิงโตเป็นแน่ ตอนนี้รู้สึกว่าอากาศเย็นลงมากขึ้นทุกที อุณหภูมิที่นาฬิกาข้อมือผมชี้ที่เลขศูนย์องศา ผมเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียจากการขับรถที่กระแทกกระทั้น เหมือนถูกมือยักษ์จับตัวผมเขย่าไม่หยุดมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง เย็นมากแล้ว แต่ดูเหมือนว่าผมจะขับวนเวียนอยู่ที่เดิม เอ๊ะ! หรือว่าผมหลงทาง นาฬิกา GPS ของผมบ่งบอกว่าเส้นทางที่มาถูกต้อง ผมต้องไปต่อ แต่พระเจ้า!ก็ผมจำต้นไม้แถวนี้ได้นี่นา ทำไมผมขับไกลเท่าไหร่ๆผมก็ไม่สามารถพ้นป่าแห่งนี้ไปได้ซักที

ผมรู้สึกกระวนกระวาย น้ำมันแต่ละหยดที่ใช้ไปผมเสียดายมันมากกว่าที่ ผมเสียเงินไปในบ่อนการพนันเสียอีก หนทางต้องใช้เกียร์สโลว์มาตลอดทาง ยิ่งเพิ่มอัตราการสูบน้ำมัน ให้รถต้องการใช้มากขึ้นไปอีก ผมตัดสินใจแล้วครับ ทางข้างหน้าถ้ามีที่โล่งพอ ผมจะปักแคมป์ทันที เพราะเริ่มรู้สึกหิวและผมยังไม่อยากทำบุญบริจาคทานอุทิศร่างให้หมีกริซลี่ ที่ต้องเตรียมตัวสะสมไขมันไว้ตอนจำศีลหน้าหนาว

แล้วก็ถึงโชคของผมบ้างละ ผมเจอทำเลเหมาะเจาะเข้าแล้ว เป็นที่โล่งมีต้นไม้ใหญ่ต้นเดียว ใช้ตั้งแคมป์นอนคืนนี้แล้วกัน ผมคิด ผมค่อยๆผ่อนเท้าขวาจากคันน้ำมัน แล้วชะลอแตะเบรค รถหยุดกึก ผมชะโงกหน้าเล็กน้อย เมื่อใส่เบรกมือเรียบร้อยผมก็เปิดประตูรถก้าวลงไปยืดเส้นยืดสาย

ผมเดินไปยังใต้ต้นเมเปิ้ลใหญ่ ใช้มือลูบคลำลำต้นที่แตกหยาบด้วยอายุแล้วแหงนขึ้นไปมองจนคอตั้งป่า นกตัวใหญ่ที่เกาะอยู่บนกิ่งด้านบนตกใจเมื่อเห็นผม มันกระพือปีกพรึ่บพรั่บส่งเสียงร้องโหยหวลดังลั่นสนั่น คล้ายดังจะร้องเตือนเพื่อนของมันว่า บัดนี้ ได้มีผู้บุกรุกมายังถิ่นของพวกมันแล้ว!

หลังจากที่ผมปักแคมป์กางเต้นท์เสร็จ ผมก็ออกมายืนกวาดสายตาไปรอบๆครู่หนึ่ง เอ๊ะนั่นไกลออกไปผมเห็นสิ่งของบางอย่างวางอยู่เกลื่อนกราด ผมอดใจไม่ไหวสาวเท้าเดินไปดูทันที พระเจ้า! ฟักทอง ใครเอาฟักทองมาวางเกลื่อนกราดแถวนี้นะ ฟักทองบางลูกโตขนาดใช้นั่งแทนเก้าอี้เด็กได้เลย ต้องมีสิ่งมีชีวิตอยู่แถวๆนี้แน่ๆ ก็ผมขับรถมา บนเขาลูกนี้ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว แล้วนี่ ฟักทองที่มีรอยตัดขั้วจากฝีมือมนุษย์มันมาจากไหนกัน ผมงงๆ แล้วก็เดินกลับมายังแคมป์ เดินไปหยิบตะกร้าอาหารลงมาจากรถ วันนี้ผมจะกินของที่มีอยู่นี่แหละ

ผมเตรียมกาแฟมากระติกนึง รอดตัวไปมื้อไม่ต้องต้ม มีขนมปังโรลดินเนอร์ก้อนโตเท่าฝ่ามือ เนยและแอปเปิ้ล ผมหยิบข้าวของจนเต็มกอด แล้ววางลงหน้าเต๊นท์ นั่งลงจัดแจงหยิบมีดมาปาดเนยทาลงบนขนมปังอย่างขมักขเม้น รินกาแฟดำลงในฝากระติก ผมดื่มมันอย่างหิวโหยและหนาวสั่น ตามด้วยก้อนขนมปังที่กำลังส่งป้อนเข้าปาก ทันใดนั้นผมก็สะดุ้งเฮือก ก้อนขนมปังแทบร่วงลงพื้น โธ่..พระเจ้า นี่มันอะไรกัน ผมกลายเป็นคนขวัญอ่อนไปแต่เมื่อไหร่ ก็นาฬิกาปลุกที่ข้อมือผมส่งเสียงปลุกเตือนเวลานั่นเอง……

หลังจากที่ผมกินอาหารมื้อนั้นจนอิ่ม ผมเดินไปหยิบน้ำในแกลลอนเทลงในอ่างพลาสติก ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามใบหน้าและตัวจนสะอาดพอใช้ผมเหน็บเต้นท์จนแน่นหนาดับไฟฉายเข้านอน

Romance

    Free Counter